วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

QR CODE MS TEAM

 QR CODE : MS TEAM ของ นางสาวสุทธิรัตน์ คนใหญ่





QR CODE : VLOG เกี่ยวกับปัญหาด้านการเรียนและการออกเสียงภาษาอังกฤษ

 QR CODE : VLOG ของ นางสาวสุทธิรัตน์ คนใหญ่





QR CODE : ห้องเรียนจำลอง จักรวาลนฤมิต ของ นางสาวสุทธิรัตน์ คนใหญ่

  QR CODE : ห้องเรียนจำลอง จักรวาลนฤมิต  ของ นางสาวสุทธิรัตน์ คนใหญ่



วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

COVID-Driven Innovation in Higher Education: Analysing the Collaboration of Leadership and Digital Technology during the Pandemic in UiTM Malaysia and UNNES Indonesia

Pramono, S. E., Wijaya, A., Melati, I. S., Sahudin, Z., & Abdullah, H. (2021). COVID-Driven Innovation in Higher Education: Analysing the Collaboration of Leadership and Digital Technology during the Pandemic in UiTM Malaysia and UNNES Indonesia. Asian Journal of University Education, 17(2), 115. https://doi.org/10.24191/AJUE.V17I2.13393

Abstract

        This study aims to analyse the way leadership and digital technology usage affect the faculty members’ research performance in surviving higher education sustainability during the COVID-19 pandemic. A breakthrough innovation is needed to design a fast-track online work management system. Hence, it requires a loyal contribution from all the faculty members to support this system. This quantitative study conducted in Malaysia and Indonesia, included 260 faculty members from various fields of studies. Using the online questionnaire, it shows that leadership and technology usage plays an important role to maintain faculty members’ research performance during the pandemic. However, it has a slight difference in result between Malaysia and Indonesia in terms of the portion of leadership and digital technology that affected the research performance. The higher education leaders play a stronger role in affecting Malaysian faculty members’ research performance, while Indonesian faculty members are influenced more by digital technology usage than by their leaders. Each of them has a significant implication in designing the effective institution policies in optimizing faculty members’ research performance.

บทคัดย่อ
        การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์วิธีการเป็นผู้นําและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่มีผลต่อผลการวิจัยของคณาจารย์ในการอยู่รอดอย่างยั่งยืนระดับอุดมศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 จําเป็นต้องมีนวัตกรรมที่ก้าวหน้าในการออกแบบระบบการจัดการงานออนไลน์ที่รวดเร็ว ดังนั้นจึงต้องมีการมีส่วนร่วมอย่างภักดีจากคณาจารย์ทุกคนเพื่อสนับสนุนระบบนี้ การศึกษาเชิงปริมาณนี้ดําเนินการในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียรวมถึงคณาจารย์ 260 คนจากสาขาการศึกษาต่างๆ การใช้แบบสอบถามออนไลน์แสดงให้เห็นว่าการใช้ความเป็นผู้นําและเทคโนโลยีมีบทบาทสําคัญในการรักษาประสิทธิภาพการวิจัยของคณาจารย์ในช่วงการระบาดใหญ่ อย่างไรก็ตามมีความแตกต่างเล็กน้อยในผลระหว่างมาเลเซียและอินโดนีเซียในแง่ของความเป็นผู้นําและเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีผลต่อประสิทธิภาพการวิจัย ผู้นําระดับอุดมศึกษามีบทบาทอย่างมากในผลกระทบต่อผลงานวิจัยของคณาจารย์ชาวมาเลเซีย ในขณะที่คณาจารย์ชาวอินโดนีเซียได้รับอิทธิพลจากการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมากกว่าผู้นํา แต่ละคนมีนัยสําคัญในการออกแบบนโยบายสถาบันที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพการวิจัยของคณาจารย์

Fostering Digital Educationamong Teachers and Learners in Sri Lankan Schools

 Karunanayaka, S. P., & Weerakoon, W. M. S. (2020). Fostering Digital Educationamong Teachers and Learners in Sri Lankan Schools. 7(1), 6177. http://oasis.col.org/handle/11599/2442

Abstract

        The Commonwealth Digital Education Leadership Training in Action (C-DELTA) programme provides a framework for fostering digital education for lifelong learning by developing digital education leaders. The Faculty of Education at the Open University of Sri Lanka implemented an action research project to promote the adoption of C-DELTA among teachers and students of secondary schools in Sri Lanka, and evaluate its impact on the teaching-learning process. A group of 41 teachers participated in the intervention and implemented C-DELTA in their schools. A variety of data were collected throughout the process via questionnaires, concept maps, focus group interviews, implementation reports, and log records in the C-DELTA platform. Findings revealed that despite challenges, such as inadequate ICT facilities, time constraints and limitation in English language competencies, the adoption of C-DELTA has supported improving digital literacy, enacting changes in thinking and digital behaviour among teachers and students, and enhancing teachers’ digital education leadership skills.

บทคัดย่อ

         โครงการอบรมภาวะผู้นําด้านการศึกษาดิจิทัลของเครือจักรภพในการดําเนินการ (C-DELTA) เป็นกรอบในการส่งเสริมการศึกษาดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตโดยการพัฒนาผู้นําด้านการศึกษาดิจิทัล คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยเปิดศรีลังกาดําเนินโครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมการนํา C-DELTA มาใช้ในหมู่ครูและนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในศรีลังกาและประเมินผลกระทบต่อกระบวนการสอน กลุ่มครู 41 คนมีส่วนร่วมในการแทรกแซงและใช้ C-DELTA ในโรงเรียนของพวกเขา มีการรวบรวมข้อมูลที่หลากหลายตลอดกระบวนการผ่านแบบสอบถามแผนผังแนวคิดการสัมภาษณ์กลุ่มโฟกัสรายงานการดําเนินการและบันทึกบันทึกในแพลตฟอร์ม C-DELTA ผลการวิจัยเปิดเผยว่าแม้จะมีความท้าทายเช่นสิ่งอํานวยความสะดวกด้าน ICT ไม่เพียงพอข้อ จํากัด ด้านเวลาและข้อ จํากัด ในความสามารถทางภาษาอังกฤษ แต่การนํา C-DELTA มาใช้ได้สนับสนุนการปรับปรุงความรู้ดิจิทัลทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการคิดและพฤติกรรมดิจิทัลในหมู่ครูและนักเรียนและเสริมสร้างทักษะความเป็นผู้นําด้านการศึกษาดิจิทัลของครู

ICT Leadership Education for Agricultural Extension in Sri Lanka: Assessing a Technology Stewardship Training Program

Gow, G. A., Jayathilake, C. K., Kumarasinghe, I., Ariyawanshe, K., & Rathnayake, S. (2020). ICT Leadership Education for Agricultural Extension in Sri Lanka: Assessing a Technology Stewardship Training Program. In International Journal of Education and Development using Information and Communication Technology (IJEDICT) (Vol. 16). http://www.harti.gov.lk/

ABSTRACT

        This article reports on a technology stewardship training program to promote ICT leadership development with agricultural extension practitioners in Sri Lanka. Researchers used a multimethod approach with a single embedded case study. Data were collected using a pre-course survey, formal course evaluation, classroom observation, and semi-structured interviews with participants. Kirkpatrick’s four-level evaluation model was used to structure analysis of the results. Findings from this study show a positive response to technology stewardship training among agricultural extension practitioners in the course, that learning objectives of the course are achievable when offered as an in-service training program, that self-confidence with ICT is improved, and that some participants applied their learning in a post-course activity. Results from the study also raise a number of considerations for future course design in order to better support digital leadership development in practice. Technology stewardship training shows promise as a form of ICT leadership education for agricultural communities of practice in Sri Lanka and elsewhere. This article contributes to a better understanding of the role of social learning among communities of practice in agricultural extension services, and in contributing to effective use of ICT for agriculture development more broadly.

 

บทคัดย่อ

        บทความนี้รายงานเกี่ยวกับโครงการฝึกอบรมการดูแลเทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมความเป็นผู้นําด้าน ICT พัฒนาร่วมกับผู้ปฏิบัติงานด้านการต่อเติมสินค้าเกษตรในศรีลังกา นักวิจัยใช้ วิธีการ multimethod กับกรณีศึกษาแบบฝังตัวเดียว ข้อมูลถูกรวบรวมโดยใช้หลักสูตรก่อนหลักสูตร การสํารวจการประเมินหลักสูตรอย่างเป็นทางการการสังเกตในชั้นเรียนและการสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างด้วยคน รูปแบบการประเมินสี่ระดับของ Kirkpatrick ถูกใช้เพื่อจัดโครงสร้างการวิเคราะห์ผลลัพธ์ ผลการวิจัยจากการศึกษานี้แสดงให้เห็นถึงการตอบสนองเชิงบวกต่อการฝึกอบรมการดูแลเทคโนโลยีในหมู่ ผู้ประกอบวิชาชีพด้านการต่อเติมการเกษตรในหลักสูตรว่า วัตถุประสงค์ในการเรียนรู้ของหลักสูตรคือ สามารถทําได้เมื่อนําเสนอเป็นโปรแกรมการฝึกอบรมในการให้บริการ, ที่มั่นใจในตนเองกับ ICT คือ ปรับปรุงและผู้เข้าร่วมบางคนใช้การเรียนรู้ของพวกเขาในกิจกรรมหลังหลักสูตร ผลลัพธ์จาก การศึกษายังเพิ่มจํานวนของข้อควรพิจารณาสําหรับการออกแบบหลักสูตรในอนาคตเพื่อสนับสนุนที่ดีขึ้น การพัฒนาความเป็นผู้นําทางดิจิทัลในทางปฏิบัติ การฝึกอบรมการดูแลเทคโนโลยีแสดงสัญญาในฐานะรูปแบบของการศึกษาความเป็นผู้นําด้าน ICT สําหรับชุมชนเกษตรกรรมของการปฏิบัติในศรีลังกาและ ที่อื่น บทความนี้มีส่วนช่วยให้เข้าใจบทบาทของการเรียนรู้ทางสังคมได้ดีขึ้น ชุมชนของการปฏิบัติในการให้บริการขยายผลทางการเกษตรและในการมีส่วนร่วมในการใช้อย่างมีประสิทธิภาพของ ICT เพื่อการพัฒนาการเกษตรในวงกว้างมากขึ้น

วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

การพัฒนารูปแบบการบริหารเพื่อสร้างนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

 วีระศักดิ์ พลมณี และวัลลภา อารีรัตน์ (2562) การพัฒนารูปแบบการบริหารเพื่อสร้างนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. วารสารบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น. ปีที่ 15 ฉบับที่ 1 ประจำเดือนมกราคม–มิถุนายน 2562, หน้า 36 - 50

บทคัดย่อ

        การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) ศึกษาองค์ประกอบของการบริหารเพื่อสร้างนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของการบริหารเพื่อสร้างนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 3) พัฒนารูปแบบการบริหารเพื่อสร้างนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ 4) ศึกษาผลการใช้รูปแบบการบริหารเพื่อสร้างนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน วิธีดำเนินการใช้ระเบียบวิธีวิจัยและพัฒนาเป็น 3 ระยะดังนี้ ระยะที่ 1(R1) ศึกษาองค์ประกอบ และสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของการบริหารเพื่อสร้างนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนมัธยมศึกษาระยะที่ 2(D1) พัฒนารูปแบบการบริหารเพื่อสร้างนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนมัธยมศึกษา และระยะที่ 3(R2D2) ศึกษาผลการใช้รูปแบบการบริหารเพื่อสร้างนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนมัธยมศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอนในโรงเรียนนวัตกรรม และผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอนในโรงเรียนที่นำรูปแบบไปใช้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอนในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในปีการศึกษา 2561 จำนวน 560 คน ความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม เท่ากับ 0.976 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม และแบบประเมิน


ความท้าทายในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมกับการศึกษายุค 4.0

จิรากร เฉลิมดิษฐ, นวรัตน์ วิทยาคม และณมน จีรังสุวรรณ (2561) ความท้าทายในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมกับการศึกษายุค 4.0. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร. ปีที่ 20 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนเมษายน - มิถุนายน 2561, หน้า 266 - 279

บทคัดย่อ 

            การศึกษายุค4.0เป็นการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนได้ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองโดยสามารถศึกษาได้จากแหล่งข้อมูลหรือการเรียนรู้ในทุกรูปแบบ รวมทั้งสามารถพัฒนาและสร้างนวัตกรรมได้ ซึ่งในปัจจุบันนั้นมีสื่อการเรียนรู้มากมายหลายแบบ สื่อเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality) เป็นเทคโนโลยีซึ่งผสมผสานระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงเข้ากับโลกเสมือนโดยการใช้เทคนิคการซ่อนภาพสามมิติที่สร้างขึ้นให้ไปแสดงผลและสามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ได้ทันที ผ่านซอฟต์แวร์และอุปกรณ์เชื่อมต่อที่มีกล่อง เช่น เว็บแคม โทรศัพท์หรือสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต โดยสื่อการเรียนรู้ที่พัฒนามาจากเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมเป็นเทคโนโลยีใหม่ ที่สามารถนํามาใช้เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนอยากรู้อยากเห็นและเรียนรู้สิ่งใหม่ สร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ได้เรียนรู้ในสิ่งที่ตนเองอยากเรียนแล้วนําความรู้ที่ได้มาพัฒนาและสร้างนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ให้กับสังคม ซึ่งทําให้การเรียนรู้มีความท้าทายและน่าสนใจ ปัจจุบันได้เริ่มมีการพัฒนาการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมในด้านการศึกษาเพิ่มมากขึ้น บทความนี้ครอบคลุมแนวคิดและหลักการทํางานของเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม การศึกษายุค 4.0 แนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมกับการนํามาใช้ในการศึกษายุค 4.0 




เปลี่ยนมุมมองใหม่เพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร

ศิตา เยี่ยมขันติถาวร (2557) เปลี่ยนมุมมองใหม่เพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร. วารสารปัญญาภิวัฒน์. ปีที่ 5 ฉบับพิเศษ ประจำเดือนพฤษภาคม 2557, หน้า 208 - 222

บทคัดย่อ

หลายต่อหลายครั้งที่ได้อ่านบทความเกี่ยวกับการพูดภาษาอังกฤษของคนไทย บทความเหล่านั้น มักชี้ให้เห็นถึงความผิดพลาดของการพูดภาษาอังกฤษ ทั้งในเรื่องคำศัพท์ ไวยากรณ์และการออกเสียง ในขณะเดียวกันกับชื่นชมประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน อย่างสิงคโปร์ว่าเก่งจนเกิดความคิดว่าแทนที่จะเป็นแรงบรรดาลใจอาจจะเป็นการซ้ำเติมให้ท้อถอยหมดกำลังใจก็เป็นได้ บทความนี้จึงมุ่งเน้นถึงการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารของคนไทย พร้อมทั้งยกตัวอย่างคนไทย ที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ดีเพื่อเป็นแบบอย่าง พีดีในการใช้ภาษา และการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อแข่งขันต่อสู้กับชาติอื่น เพื่อพิสูจน์ว่าภาษาอังกฤษของคนไทยก็ไม่ได้แพ้ชาติใดเช่นกัน รวมถึงยังมุ่งชี้ให้เห็นว่าแต่ละประเทศต่างมีภาษาอังกฤษที่เป็นเอกลักษณ์ของตน ที่เราเรียกว่า ความหลากหลายของภาษาอังกฤษภาษาอังกฤษแบบสิงคโปร์ เป็นตัวอย่างของภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร เพราะภายในประเทศมีการใช้ภาษาอังกฤษที่เป็นฉบับของตน ซึ่งสามารถสังเกตได้จากภาษาพูด ที่ไม่ได้มาตรฐานแต่สามารถสื่อสารได้ ประเทศไทยเราก็มีแบบฉบับภาษาอังกฤษในรูปแบบไทยเช่นกัน แต่กลับกลายเป็นตัวกั้นขวาง ทำให้คนไทยไม่กล้าที่จะพูดออกไป ดังนั้นเราจึงควรให้กำลังใจคนไทย ให้กล้าที่จะพูดและมุ่งเน้นในเรื่องทักษะทางการสื่อสารเท่านั้น

วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

กลวิธีการสอนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อส่งเสริมการฟัง พูดภาษาอังกฤษ ของผู้เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ ในศตวรรษที่ 21

ศราธรณ์ หมั่นปรุ และสุภาวดี ในเสนา (2562) กลวิธีการสอนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อส่งเสริมการฟัง พูดภาษาอังกฤษ ของผู้เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ ในศตวรรษที่ 21. วารสารวิชาการเครือข่ายบณั ฑิตศึกษามหาวิทยาลยัราชภฏั ภาคเหนือ. ปี ที่ 9 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2562, หน้า 1-16

บทคัดย่อ 

      บทความนี้กล่าวถึงการสอนโดยนำกลวิธีการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมาใช้ร่วมกับเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมทักษะการฟัง พูดภาษาอังกฤษของผู้เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศในศตวรรษที่ 21กลวิธีการเรียนรู้ภาษา แบ่งเป็นกลวิธีทางตรงและกลวิธีทางอ้อม ซึ่งเป็นกลวิธีที่มุ่งเน้นบทบาทของผู้เรียนให้ได้ ฝึกทักษะการใช้ภาษาให้มากที่สุด ผู้สอนควรจัดกิจกรรมการเรียนรู้และบรรยากาศในห้องเรียนที่ส่งเสริมทักษะ การฟัง พูดของผู้เรียน และใช้กลวิธีที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียน ได้แก่กลวิธีการจำ (memory strategies) กลวิธีการเรียนรู้ทางปัญญา (cognitive strategies) กลวิธีการควบคุมอารมณ์ความรู้สึก (affective strategies) และกลวิธีทางสังคม (social strategies) กลวิธีเหล่านี้ช่วยให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียนรวมทั้งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ด้วยตนเองร่วมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น แอปพลิเคชั่นในการเรียนภาษา สื่อออนไลน์ซึ่งช่วยขับเคลื่อนใหผู้เรียนเกิดความตื่นตัว (motivation) ในการเรียน

การพัฒนานวัตกรรมการสอนภาษาอังกฤษระดับประถมศึกษา โดยใช้วิธีการสอนการเรียนรู้ภาษาแบบร่วมมือ

 การพัฒนานวัตกรรมการสอนภาษาอังกฤษระดับประถมศึกษา โดยใช้วิธีการสอนการเรียนรู้ภาษาแบบร่วมมือ

ปี : 2555

หมวด : รายงานการวิจัย

ผู้แต่ง : กาญจนา ชาตตระกูล 
ผู้แต่งร่วม : วนิดา อัญชลีวิทยกุล, ปิยธิดา สุกกระ, สรพล จิระสวัสดิ์, ขวัญสุดา ดีศิริ, อัจฉรา วงศ์โสธร

กลยุทธ์การบริหารงานวิชาการโรงเรียนสองภาษา หลักสูตรไทย-อังกฤษ สังกัดกรุงเทพมหานคร

ชื่อเรื่อง : กลยุทธ์การบริหารงานวิชาการโรงเรียนสองภาษา หลักสูตรไทย-อังกฤษ สังกัดกรุงเทพมหานคร

ปี : 2562

หมวด : วิทยานิพนธ์

ผู้แต่ง : โสภณา เศวตคชกุล

ผู้แต่งร่วม : สุวพร เซ็มเฮง


การพัฒนารูปแบบการสอนภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาตามแนวยุทธศาสตร์การสอนภาษาแบบผสมผสานของมาร์ทัน

 

ชื่อวิทยานิพนธ์การพัฒนารูปแบบการสอนภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาตามแนวยุทธศาสตร์การสอนภาษาแบบผสมผสานของมาร์ทัน
THE DEVELOPMENT OF ENGLISH TEACHING MODEL FOR STUDENTSAT THE ELEMENTARY EDUCATION LEVEL ACCORDING TO MARTON'SECLECTIC LANGUAGE TEACHING STRATEGY
ชื่อนิสิตอรุณี สถิตย์ภาคีกุล
Arunee Satitpakeekul
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษารศ ดร แรมสมร อยู่สถาพรผศ ดร ทวีวัฒน์ ปิตยานนท์
Asso.Prof.Dr.Ramsamorn YoosathapornAsst.Prof.Dr.Taweewat Pitayanont
ชื่อสถาบันจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. บัณฑิตวิทยาลัย
Chulalongkorn University. Bangkok (Thailand). Graduate School.
ระดับปริญญาและรายละเอียดสาขาวิชาวิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต. ครุศาสตร์ (หลักสูตรและการสอน)
Master. Education (Curriculum and Instruction)
ปีที่จบการศึกษา2534
บทคัดย่อ(ไทย)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการสอนภาษาอังกฤษสำหรับใช้สอนนักเรียนระดับประถมศึกษาตามแนวยุทธศาสตร์การสอนภาษาแบบผสมผสานของมาร์ทัน และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ และคะแนนเจตคติต่อการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนที่ได้รับการสอนตามรูปแบบการสอนที่พัฒนาขึ้น กับการสอนตามแนวกิจกรรมที่เสนอแนะในคู่มือหนังสือ English Is Fun สำหรับครู บทที่ 1-4 วิธีดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ตอน คือ ตอนที่ 1 พัฒนารูปแบบการสอน ตอนที่ 2ทดลองใช้รูปแบบการสอน และ ตอนที่ 3 ปรับแก้ไขรูปแบบการสอน ผลการวิจัยปรากฏดังนี้ คือ (1) รูปแบบการสอนที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 8 อย่าง ได้แก่ หลักการ จุดมุ่งหมาย เนื้อหาและทักษะที่ต้องการสอน ยุทธศาสตร์การสอน กระบวนการสอน (ทบทวนความรู้เดิม รับสาร สร้างมโนทัศน์ ก่อให้เกิดทักษะ สรุปและวัดผล นำความรู้และทักษะไปใช้) วิธีสอน ขั้นตอนและกิจกรรมการสอน การวัดและประเมินผลรูปแบบการสอนที่พัฒนาขึ้น แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่กำหนดให้ และส่วนที่ให้ครูได้เลือกนำวิธีและกิจกรรมการสอนมาใช้ให้เหมาะสมกับนักเรียน (2)ผลการนำรูปแบบการสอนที่พัฒนาขึ้นไปทดลองใช้ พบว่า รูปแบบการสอนที่พัฒนาขึ้นสามารถใช้ได้จริง ค่าเฉลี่ยของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษหลังเรียนของนักเรียนกลุ่มทดลองสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษระหว่างก่อนและหลังเรียนของนักเรียนกลุ่มทดลองต่างจากกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05นอกจากนี้ ยังพบว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนนเจตคติต่อการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
บทคัดย่อ(English)The purposes of this study were to develop anEnglish teaching model for students at the elementaryeducation level according to Marton's eclectic languageteaching strategy and to compare achievement scores ofEnglish subject and attitudes scores towards Englishlearning of the students taught by the developed modeland the instructional plans in the English Is Fun, Book3 teachers' manual, lesson 1-4. The research procedurewas : stage I : Model Development, stage II : ModelImplementation. stage III : Model Revision. The research results were as follow : (1) thedeveloped model consisted of 8 important components :rationale, objectives, contents and skills, teachingstrategy, teaching process (knowledge revision,knowledge reception, concept development, skillpractising, conclusion and evaluation, and knowledgetransferring) , teaching methods, teaching steps andactivities, and measurement and evaluation. Thedeveloped model was composed of 2 parts : thecompulsion and the alternative which the teachers couldpick up the most appropriate teaching method andactivities for their students. The difference betweenpretest and posttest achievement mean scores of theexperimental group was significantly different fromthat of the controlled group at the .05 level. Besides,it was found that the attitude towards English learningmean scores of the two groups were not significantlydifferent.
ภาษาที่ใช้เขียนวิทยานิพนธ์
จำนวนหน้าของวิทยานิพนธ์549 P.
ISBN974-581-589-6.
สถานที่จัดเก็บวิทยานิพนธ์
คำสำคัญENGLISH TEACHING MODELELEMENTARY EDUCATION LEVEL ECLECTICLANGUAGE TEACHING STRATEGY
วิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวข้อง

    รูปแบบการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จังหวัดจันทบุรี

     

    ชื่อวิทยานิพนธ์รูปแบบการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จังหวัดจันทบุรี
    DEVELOPMENT MODEL OF THE INTERNAL QUALITY ASSURANCE OPERATIONS IN BASIC EDUCATION INSTITUTIONS, CHANTHABURI PROVINCE.
    ชื่อนิสิตธงไชย บุญเรือง
    Not Available
    ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาเจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม, ค.ด.ธร สุนทรายุทธ, Ph.D.ไพรัตน์ วงษ์นาม, ค.ด.
    ชื่อสถาบันมหาวิทยาลัยบูรพา. บัณฑิตวิทยาลัย
    Burapha University. Chonburi (Thailand). Graduate School.
    ระดับปริญญาและรายละเอียดสาขาวิชาวิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต. การศึกษา (การบริหารการศึกษา)
    Not Available
    ปีที่จบการศึกษา2547
    บทคัดย่อ(ไทย)การวิจัยครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัญหา เปรียบเทียบปัญหา และศึกษารูปแบบการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จังหวัดจันทบุรี กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 144 คน ครูผู้สอนที่เป็นคณะกรรมการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา จำนวน 432 คน และผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 6 คน โดยใช้แบบสอบถามปัญหาการดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า และการสนทนากลุ่มผู้เชี่ยวชาญ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า 1. ปัญหาการดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จังหวัดจันทบุรี โดยรวม และรายด้าน อยู่ในระดับปานกลาง 2. ปัญหาการดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จังหวัดจันทบุรี โดยรวมจำแนกตามลักษณะของสถานศึกษา แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ 3. รูปแบบการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จังหวัดจันทบุรี ดังนี้ 3.1 การจัดระบบบริหาร และสารสนเทศ ได้แก่ ให้ความรู้แก่บุคลากร และผู้เกี่ยวข้องกระจายการมีส่วนร่วมทุกฝ่าย และกำหนดคณะทำงานด้านระบบสารสนเทศ 3.2 การพัฒนามาตรฐานการศึกษา ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญให้ความรู้ และเทคนิคการวิเคราะห์มาตรฐานประชุมเชิงปฏิบัติการ และจัดทำเอกสารประกอบมาตรฐาน 3.3 การจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา ได้แก่ ระดมความคิดคณะกรรมการประเมินความต้องการจำเป็น กำหนดยุทธศาสตร์ และแผนปฏิบัติการ และประชุมชี้แจงผู้เกี่ยวข้อง 3.4 การดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา ได้แก่ จัดทำแผนปฏิบัติการประจำปี มอบหมายงาน กระจายอำนาจ ทำงานเป็นทีม สนับสนุน อำนวยความสะดวก และนิเทศติดตาม 3.5 การตรวจสอบ และทบทวนคุณภาพการศึกษา ได้แก่ อบรมให้ความรู้ และทักษะโดยผู้เชี่ยวชาญ 3.6 การประเมินคุณภาพการศึกษา ได้แก่ ประชุมชี้แจงทุกฝ่าย วางแผนการประเมินอย่างเป็นระบบติดตามการประเมิน และพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง 3.7 การรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี ได้แก่ แต่งตั้งผู้รับผิดชอบที่เหมาะสม กำหนดข้อมูล วิธีการเก็บข้อมูล รูปแบบรายงาน และระดมความคิดหาแนวทางพัฒนา 3.8 การผดุงระบบการประกันคุณภาพการศึกษา ได้แก่ ประชุมชี้แจง ระดมความคิด วิเคราะห์ผลหาทางพัฒนา และวางแผนการดำเนินงานต่อไป
    บทคัดย่อ(English)Not Available
    ภาษาที่ใช้เขียนวิทยานิพนธ์
    จำนวนหน้าของวิทยานิพนธ์162 P.
    ISBN974-970-22-X
    สถานที่จัดเก็บวิทยานิพนธ์
    คำสำคัญรูปแบบการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานจังหวัดจันทบุรี
    วิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวข้อง

    การศึกษาภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา เขตการศึกษา 10

     ชื่อวิทยานิพนธ์การศึกษาภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา เขตการศึกษา 10

    A Study of Leadership of Secondary School Administrators under theDepartment of General Education in Educational Region 10ชื่อนิสิตสุรพงษ์ ภูโทถ้ำ
    Surapong Pootothumชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาดร ถวิล ลดาวัลย์อ โกวัฒน์ เทศบุตร
    Dr Tawil LaddawanGowat Taesabutชื่อสถาบันมหาวิทยาลัยมหาสารคาม. บัณฑิตวิทยาลัย
    Mahasarakham University. Mahasarakham (Thailand). Graduate School.ระดับปริญญาและรายละเอียดสาขาวิชาวิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต. การศึกษา (การบริหารการศึกษา)
    Master. Education (Educational Administration)ปีที่จบการศึกษา2537บทคัดย่อ(ไทย)การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบภาวะผู้นำที่เป็นจริงและที่คาดหวังของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา ตามทัศนะของผู้บริหารโรงเรียนและผู้ช่วยผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา เขตการศึกษา 10 ซึ่งประกอบด้วย5 ด้านคือ ด้านความเชื่อมั่นและศรัทธาผู้นำ ด้านการติดต่อสื่อสาร ด้านการควบคุม ด้านการตัดสินใจ และด้านปฏิสัมพันธ์อิทธิพล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นผู้บริหารโรงเรียนและผู้ช่วยผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา จำนวน 433 คน ซึ่งได้มาโดยการใช้ตารางของเครจซี และมอร์แกน (Krejcie and Morgan) ส่วนวิธีการสุ่มใช้โรงเรียนเป็นหน่วยสุ่ม (Unit Sampling) โดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบความคิดเห็นเกี่ยวกับการศึกษาภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาที่เป็นจริง และที่คาดหวัง ซึ่งผู้วิจัยได้ปรับปรุงมาจากDiagnostic Survey for Leadership Improvement (DSLI) แบบสอบถามเป็นผลงานของ David J. Mullen ซึ่งจัดทำเป็นฉบับภาษาไทย โดย ถวิล ลดาวัลย์ มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) จำนวน 52 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่น 0.98การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)และทดสอบสมมุติฐาน โดยใช้ t-test ผลการวิจัยพบว่า 1. ผู้บริหารและผู้ช่วยผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา มีทัศนะเกี่ยวกับภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนที่เป็นจริง รวมทุกด้าน และในแต่ละด้านอยู่ในระดับมาก และมีทัศนะเกี่ยวกับภาวะผู้นำที่คาดหวัง รวมทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนรายด้านพบว่า ด้านความเชื่อมั่นและศรัทธาผู้นำ ด้านการติดต่อสื่อสาร ด้านปฏิสัมพันธ-อิทธิพล อยู่ในระดับมากที่สุดและด้านการตัดสินใจ ด้านการควบคุม อยู่ในระดับมาก 2. ผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษามีทัศนะเกี่ยวกับภาวะผู้นำที่เป็นจริง รวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก และที่คาดหวังอยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าภาวะผู้นำที่เป็นจริงด้านความเชื่อมั่นและศรัทธาผู้นำ ด้านการติดต่อสื่อสาร ด้านการตัดสินใจ ด้านการควบคุมอยู่ในระดับมาก ส่วนด้านปฏิสัมพันธ์-อิทธิพล อยู่ในระดับมากที่สุด และภาวะผู้นำที่คาดหวัง ด้านความเชื่อมั่นและศรัทธาผู้นำ ด้านการติดต่อสื่อสารด้านการควบคุม ด้านปฏิสัมพันธ์-อิทธิพล อยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนด้านการตัดสินใจอยู่ในระดับมาก 3. ผู้ช่วยผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษามีทัศนะเกี่ยวกับภาวะผู้นำที่เป็นจริงของผู้บริหารโรงเรียน รวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก และที่คาดหวังอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ภาวะผู้นำที่เป็นจริงแต่ละด้านอยู่ในระดับมาก และภาวะผู้นำที่คาดหวังด้านความเชื่อมั่นและศรัทธาผู้นำ ด้านการติดต่อสื่อสาร ด้านปฏิสัมพันธ์-อิทธิพล อยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนด้านการตัดสินใจ และด้านการควบคุม อยู่ในระดับมาก 4. ภาวะผู้นำที่เป็นจริงของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา ตามทัศนะของผู้บริหารโรงเรียน และผู้ช่วยผู้บริหารโรงเรียน โดยส่วนรวมและเป็นรายด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับต่ำกว่า .01 โดยผู้บริหารโรงเรียนมีทัศนะอยู่ในระดับสูงกว่าผู้ช่วยผู้บริหารโรงเรียน ส่วนภาวะผู้นำที่คาดหวังของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา ตามทัศนะของผู้บริหารโรงเรียน และผู้ช่วยผู้บริหารโรงเรียน รวมทุกด้านและเป็นรายด้าน แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ 5. ทั้งผู้บริหารโรงเรียน และผู้ช่วยผู้บริหารโรงเรียน มีทัศนะเกี่ยวกับภาวะผู้นำที่คาดหวังของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สูงกว่าภาวะผู้นำที่เป็นจริงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับต่ำกว่า .01 ทั้งเป็นรายด้าน และรวมทุกด้าน จากผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า ภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา เขตการศึกษา 10 ที่เป็นจริงและที่คาดหวังยังไม่สอดคล้องกัน ยังมองไม่ตรงกันอยู่หลายด้าน หลายประเด็น สมควรที่ผู้บริหารหรือผู้ที่เกี่ยวข้องจะได้ตรวจสอบพิจารณาเพื่อปรับปรุงภาวะผู้นำให้เหมาะสมยิ่งขึ้น สำหรับข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไปคือ 1. ควรทำการวิจัยการศึกษาผู้นำที่เป็นจริงและคาดหวังจากประชากรกลุ่มอื่น ๆ ที่มิใช่ผู้บริหาร และผู้ช่วยผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา ในการเป็นผู้ให้ความคิดเห็นในการวิจัยเช่น หัวหน้าหมวดวิชา หัวหน้าฝ่าย ครู-อาจารย์ ฝ่ายปฏิบัติการสอน และฝ่ายสนับสนุนการสอนในโรงเรียนมัธยมศึกษา เพื่อจะได้พบว่าในแต่ละกลุ่มประชากรมีความคิดเห็นอย่างไรในการศึกษาภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา 2. ควรศึกษาตัวแปรอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา เช่น ประสบการณ์ในการศึกษา ภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนในด้านอื่น ๆบทคัดย่อ(English)The purpose of the study was to compare the secondary schooladministrators' IS and SHOULD BF, of leadership as perceived by secondaryschool administrators and assistant administrators under the Department ofGeneral Education in Educational Region 10. The five content areas to becompared included confidence and trust, communication, control,decision-making, and interaction-influence. The sample under this study wascomposed of 433 secondary school administrators and assistantadministrators. They were chosen by using Krejcie and Morgan's Table. Unitsampling was used and the sample was chosen by using simple random samplingmethod. The instrument used for collecting data was questinnaire. Based onthe Diagnostic Survey for Leadership Improvement (DSLI), David J. Muller's,and Tawil Ladawan's versions, the researcher developed a set of 52statement rating scale questionnaire with reliability of 0.98. The analysisof data was done by mean and standard deviation. And t-test was used totest research hypotheses. The results of the study were as follows : 1. The perception of the secondary school adminstrators and assistantadministrators concerning the IS leadership of the five content areasstudied was rated high. Each of the five content areas was also rated high.The five SHOULD BE areas of leadership were all rated high. For each areastudied, confidence and trust, communication, and interaction-influencewere rated highest ; decision-making and control were rated high. 2. The perception of the secondary school administrators concerningthe IS and SHOULD BE leadership was rated at a high and highest levelrespectively. For each content area studied, IS leadership on confidenceand trust, comminication, decision-making, and control were rated high;interaction-influence was rated highest. As for the SHOULD BE leadership.confifence and trust, communication, control, and interaction-influencewere rated highest; decision-making was rated high. 3. The perception of the secondary school assistant administratorsconcerning the administrators' five IS and SHOULD BE leadership was ratedat a high and highest level respectively. The IS leadership for each areawas rated at a high level ; the SHOULD BE leadership on confidence andtrust, communication, and interaction-influence were rated highest ;dicision-making and control were rated high. 4. There was a significant difference at .01 level between theperception of the secondary school administrators and assistant.administrators concerning IS leadership of the school administrators. Theschool administrators rated the perception of IS leadership at a higherlevel than did the assistant administrators, both as a whole, and in eachaspect. However, there was no significant differnoe concerning the SHOULDBE leadership of the school administrators as perceived by schooladministrators and assistant administrators either as a whole or as aseparate aspect. 5. Both the perception of the secondary school administrators, andthe perception of the assistant administrators concerning theadministrators' SHOULD BE leadership was significantly rated higher thanthe IS leadership at .01 level both as a whole and as a separate areastudied. Since there was a difference between the real (IS) and what wasexpected (SHOULD BE) of the leadership of the secondary schooladministrators under the Department of General Education in EducationalRegion 10, the reasercher suggested that secondary school administratorsand other related authority should reconsider the ways in which leadershipbe reasonably improved.ภาษาที่ใช้เขียนวิทยานิพนธ์จำนวนหน้าของวิทยานิพนธ์135 P.ISBNสถานที่จัดเก็บวิทยานิพนธ์คำสำคัญวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวข้อง

      ประสิทธิผลของโครงการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมไทยคม :วิจัยกรณีการศึกษาแบบนอกระบบโรงเรียน อำเภอสันกำแพงจังหวัดเชียงใหม่ยฝั่งทะเลตะวันออก

      ชื่อวิทยานิพนธ์ประสิทธิผลของโครงการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมไทยคม :วิจัยกรณีการศึกษาแบบนอกระบบโรงเรียน อำเภอสันกำแพงจังหวัดเชียงใหม่
      EFFECTIVENESS OF DISTANCE EDUCATION PROJECT THROUGHTHAICOM SATELLITES : A CASE STUDY ON NON-FORMALEDUCATION AT SANKAMPHAENG DISTRICT, CHIENGMAI
      ชื่อนิสิตกองทอง วนเกียรติ
      Kongtong Vanakieat
      ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษารศ ดร กาญจนา แก้วเทพ
      Asso Prof Kanjana Kaewthep Ph D
      ชื่อสถาบันจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. บัณฑิตวิทยาลัย
      Chulalongkorn University. Bangkok. (Thailand). Graduate School.
      ระดับปริญญาและรายละเอียดสาขาวิชาวิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต. นิเทศศาสตร์ (การสื่อสารมวลชน)
      Master. Arts (Mass Communication)
      ปีที่จบการศึกษา2540
      บทคัดย่อ(ไทย)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการประเมินประสิทธิผลของโครงการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมไทยคมในทัศนะของผู้รับสาร โดยได้ดำเนินการวิจัย 4 รูปแบบคือ การวิจัยเชิงสำรวจโดยใช้แบบสอบถามนักศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม 300 คน นักศึกษาที่เรียนทางไกลสองระบบ60 คน และสอบถามครูประจำกลุ่ม 25 คน การวิจัยจากเอกสารการวิจัยแบบสัมภาษณ์ โดยสัมภาษณ์ผู้บริหารจำนวน 7 คน และการวิจัยแบบสังเกตภายใต้ทฤษฎีความหมายหน้าที่และบทบาทของการสื่อสารต่อการศึกษานอกระบบ ผลการวิจัยพบว่า 1. การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมสามารถเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงระบบการศึกษาด้วยความเสมอภาค และเท่าเทียมกันได้ระดับหนึ่ง โดยไม่จำกัดเพศ อายุ อาชีพ และรายได้ 2. การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมสามารถขยายโอกาสทางการศึกษาให้กับประชาชน กลุ่มอาชีพใหม่ ๆ บางกลุ่ม ได้เข้ามาศึกษา 3. ด้านประสิทธิภาพการทำงานของผู้ให้บริการส่วนใหญ่ครูยังไม่ได้ใช้โทรทัศน์เพื่อการศึกษา เพราะออกอากาศไม่ตรงเวลา/โทรทัศน์ยังไม่ได้เปลี่ยนกระบวนการเรียนการสอนด้านเนื้อหาในรายการโทรทัศน์วิชาวิทยาศาสตร์ 1 ภาษาอังกฤษและส่งเสริมคุณภาพชีวิต 1 กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เห็นว่าครูสอนทางโทรทัศน์สามารถสอนเสริม/ทดแทนการขาดครูได้แต่วิชาคณิตศาสตร์ไม่ได้เพราะไม่สามารถซักถามได้ 4. คุณภาพของนักศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมส่วนใหญ่เห็นว่าการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมช่วยได้ นักศึกษามีผลการเรียนดีขึ้น มีประโยชน์ เป็นการยกระดับการศึกษาให้สูงขึ้นและสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้มากที่สุดแต่อาจมีพื้นความรู้ไม่พอถ้าต้องการใช้ประโยชน์ในการศึกษาต่อ 5. ด้านการบริหารการจัดการพบปัญหา-อุปสรรคด้านการประสานงานการผลิตรายการ ด้านเวลา ด้านบุคลากรด้านเทคนิค และด้านงบประมาณ ในอนาคตน่าจะนำระบบการปฏิรูปการศึกษามาใช้โดยจะกระจายอำนาจการบริหารงานสู่องค์กรท้องถิ่นให้เข้ามาถึงบทบาทด้านการบริหารงานการศึกษา
      บทคัดย่อ(English)The objective of this research was to evaluatethe effectiveness of distance education project throughThaicom Satellites from the receivers perspectives.Four research methodologies were undertaken : SurveyResearch of students and teachers; DocumentaryResearch; Interviewing ; Observation Research. The results of this research indicated that: 1. Distance education through Thaicom Satellitescould give an equal opportunity to people to accessthem, Regardless of gender, age, career, or income. 2. Distance education through Thaicom Satellitescould extend the educational opportunity for the othervariety groups of careers. 3. Majority of teachers did not use theeducational television program for their teaching dueto the inaccuracy of the schedule. Nevertheless,television programs have not changed yet the learningand teaching method. Regarding to the content ofScience, English, and Life Improvement Subject. Almostall participants agreed the teaching through televisioncould assist them when lacking of teachers, except inMathematics. 4. For the Quality of student, most of Thaicom'sstudents agreed that this educational system could helpto significantly improve their educational quality. Itwas useful to upgrade the education and couldeffectively adopt to use in daily life. However it willnot be enough for pursuing further education. 5. The problems and obstacles were productioncooperation, on-air schedule, personnel, technical andbudget. In the future, education evolution systemshould be brought to expand to local administrativeorganizations in order to play a crucial role inadministrating education system.
      ภาษาที่ใช้เขียนวิทยานิพนธ์
      จำนวนหน้าของวิทยานิพนธ์202 P.
      ISBN974-639-092-9
      สถานที่จัดเก็บวิทยานิพนธ์
      คำสำคัญTHAICOM SATELLITESTHE EFFECTIVENESSDISTANCEEDUCATION
      วิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวข้อง


      QR CODE MS TEAM

       QR CODE :  MS TEAM  ของ นางสาวสุทธิรัตน์ คนใหญ่